
ปี 2020 เป็นปีที่ผิดคาดหรือพลิกทุกความคาดหวัง โดยเฉพาะการคาดการณ์ในภาคบริการทางการเงินที่หวังจะได้เห็นการนำบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซีมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจหลักๆ ซึ่งไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ครั้งนี้ก่อให้เกิดการนำคริปโตเคอร์เรนซีมาใช้งานในรูปแบบใหม่มากขึ้นและในวงกว้างขึ้น โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์ถึงความก้าวหน้าที่ดำเนินไปอย่างมั่นคงและเสริมสร้าง รากฐานของเทคโนโลยีนี้ แต่เห็นได้ชัดว่ากฎระเบียบและข้อบังคับของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดลำดับแรก ไม่เพียงแต่สำหรับริปเปิลเท่านั้นแต่สำหรับอุตสาหกรรมโดยรวมด้วย
เมื่อมองไปข้างหน้า ผู้บริหารหลายคนของริปเปิลคาดการณ์ว่าในปี 2021 จะมีการเร่งพัฒนานวัตกรรมบล็อคเชนและ คริปโตเคอเรนซีอย่างต่อเนื่อง และทั้ง 6 คนยังร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหลายสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในปี 2021 ดังนี้
เร่งการเติบโตของคริปโต
Asheesh Birla ผู้จัดการทั่วไปของ RippleNet กล่าวว่า “เส้นแบ่งระหว่างคริปโตและธนาคารนั้นไม่ชัดเจน ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทฟินเทคที่มีความสามารถในการใช้ประโยชน์จากคริปโตเข้ามาร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดของธนาคารที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และปรับเปลี่ยนได้ไม่รวดเร็วนัก”
การเปลี่ยนแปลงหันมายอมรับคริปโตนั้นเห็นได้ผ่านบริษัทฟินเทคที่ทำงานกับลูกค้าโดยตรงอยู่แล้วเช่น Square, Robinhood และ PayPal เดิมทีบริษัทเหล่านี้ทำให้บริการโมบายแบงค์กิ้งและดิจิทัลแบงค์กิ้งสามารถเข้าถึงกลุ่ม ลูกค้าในวงกว้างกว่า และตอนนี้การนำคริปโตมาใช้ของพวกเขากำลังช่วยเพิ่มจำนวนผู้คนให้รู้จักสินทรัพย์ดิจิทัล และบริการทางการเงินที่เปิดใช้งานบล็อคเชนมากขึ้น
Birla คาดการณ์ว่าการเปิดใช้คริปโตและการปรับปรุงกฎระเบียบของฟินเทคให้เหมาะสมขึ้น จะช่วยให้บริษัทฟินเทคต่างๆ แข่งขันกับภาคธนาคารในตลาดจริงได้ดียิ่งขึ้นในปี 2021
ในขณะเดียวกันบริษัทคริปโตต่างๆ กำลังมองหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจเยี่ยงธนาคารเพิ่มมากขึ้น (traditional bank) โดยเห็นได้จากจำนวนบริษัทคริปโตและบล็อคเชนที่ยื่นขอใบอนุญาตการธนาคารในปี 2020
“กระแสน้ำกำลังเปลี่ยนทิศทางการไหลเวียน” Birla กล่าว “เป็นไปได้ว่าในปีนี้เราจะได้เห็นบริษัทฟินเทค หรือคริปโตเคอเรนซีเข้าซื้อสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม”
การเปล่งแสงของ DeFi
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่คึกคักของ DEFI ซึ่งทยอยเปิดตัวเรียกกระแสและสร้างแอปพลิเคชั่นที่ได้รับความสนใจอย่างมากมายในช่วงปี 2020 แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังคงอยู่แค่ในกรอบของคริปโต แต่ก็เป็นผลงานตัวอย่างที่สำคัญ ในการแสดงศักยภาพของ DeFi
เมื่อมองไปข้างหน้า Michael Zochowski หัวหน้าฝ่าย DeFi ของ Ripple กล่าวว่า “ปี 2021 เราจะได้เห็น DeFi มาแรงยิ่งขึ้นเมื่อมันเติบโตเต็มที่ ผมคาดว่าจะมีโครงการ DEFI ที่เปิดตัวในช่วงแรกๆ หลายโครงการที่ต้องพับไป ไม่ก็รวมกลุ่มกัน หรือถูกซื้อโครงการไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้านับจากนี้” Zochowski กล่าว “แต่ตัวที่มีประโยชน์ อย่างแท้จริง ซึ่งน่าจะเป็นแอปพลิเคชันที่จำลองบริการทางการเงินให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่น wrapped assets หรือ decentralized exchanges ที่น่าจะได้รับแรงผลักดันจากผู้ใช้ให้ไปต่อได้”
Zochowski ยังคาดการณ์ว่าแพลตฟอร์ม DeFi ที่เปิดตัวใหม่ๆ จะทำให้ฐานรากของเทคโนโลยีแข็งแกร่งขึ้น เพราะความ ต้องการด้านประสิทธิภาพและการลดต้นทุนของลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาคาดหวังว่าโครงการรอง ที่เชื่อมระหว่างเครือข่ายและ smart contract applications จะเปิดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการให้ความสำคัญต่อความสามารถในการเพิ่มศักยภาพในการทำงานร่วมกันและประสิทธิภาพ
เนื่องจาก Eth2 ยังคงห่างไกลจากความเป็นจริง เขายังเตือนด้วยว่า Ethereum จะยังคงสูญเสียที่มั่นและอาจจะตกลงไปอีกในปี 2020 หากไทม์ไลน์ในการพัฒนายังช้าอยู่แบบนี้ “ผมเชื่อว่าอย่างน้อย 25% ของมูลค่าที่ใช้ใน DeFi ภายในสิ้นปี 2021 จะตกไปอยู่ในเครือข่ายอื่นที่ไม่ใช่ Ethereum”
Zochowski ยังเชื่ออีกว่าระบบนิเวศ XRPL จะต่อยอดความสำเร็จจากปี 2020 อย่างมีนัยสำคัญด้วยความคิด ริเริ่มที่สำคัญใหม่ๆ หลายอย่างที่จะขยายบทบาทความเป็นผู้นำในตลาด DEFI ซึ่งรวมถึงโครงการต่างๆ อาทิเช่น Flare และ XRPL Transaction Hooks ซึ่งเปิดใช้งานและเพิ่มฟังก์ชัน smart contract ที่รองรับทั้งผู้ใช้และนักพัฒนา XRP นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่าชุมชน XRP กำลังกลับสู่จุดตั้งต้นโดยการมองหาโทเค็นที่เข้ากันได้และการแลก เปลี่ยนแบบกระจายอำนาจบน XRPL
“เราคาดว่าเทรนด์แนวโน้มการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นโทเค็นใน XRPL จะเร่งเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออก
stablecoin ที่มีการนำมาใช้งานในธุรกิจจริง (production deployment) ในหลากหลายรูปแบบ และในหลายผลิตภัณฑ์ขององค์กรถูกสร้างขึ้นบนเครื่องมือใหม่ที่ได้รับการปรับปรุง” Zochowski กล่าว
ความชัดเจนของกฎระเบียบข้อบังคับ
ภายใต้ทีมบริหารงานชุดใหม่ของทำเนียบขาวคาดว่าฝ่ายบริหารใหม่จะให้ความสำคัญกับการวางกฎระเบียบและข้อบังคับ ในขณะที่คริปโตเคอร์เรนซีก้าวไปสู่กระแสหลัก ประเทศในกลุ่ม G20 ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะพิจารณาเทคโนโลยี เหล่านี้และให้ความสำคัญด้านการวางกฎระเบียบทางการเงินโดยเร่งด่วน ดังที่เราได้เห็นแล้วว่าการขาดกรอบ การกำกับดูแลที่ชัดเจนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ผู้เล่นฟินเทคและบล็อกเชนต้องตกอยู่ในสภาพสุญญากาศไร้ทิศทาง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่นสหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ และญี่ปุ่นต่างก้าวไปไกลกว่าสหรัฐฯ อย่างทิ้งห่าง
ที่ปรึกษาทั่วไปของริปเปิล Stu Alderoty คาดการณ์ว่ากฎระเบียบที่เกี่ยวกับคริปโตจะอยู่ในวาระสำคัญสูงสุด สำหรับทีมงานของประธานาธิบดี Biden ที่เข้าใจถึงผลกระทบต่อนวัตกรรมของภาครัฐและเอกชน และอาจนำไปสู่กรอบการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียวและปรับปรุงขั้นตอนการยื่นแบบที่เหมาะสมมากขึ้นสำหรับบริษัท ฟินเทคที่กำลังมองหาใบอนุญาตคริปโต
“กฎระเบียบที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาดและได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน ผ่านการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำไปใช้อย่างมีระบบ จะช่วยให้การลงเล่นในตลาดจริงและการปลดปล่อยนวัตกรรมเป็นไปได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เป็นที่ยอมรับในธุรกิจกระแสหลักต่อไปได้ในประเทศสหรัฐอเมริกานี้” Alderoty กล่าว
ปีแห่งเงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง CBDC
ความสัมพันธ์ระหว่างกฎระเบียบของภาครัฐและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในบริบทของ Central Bank Digital Currencies (CBDCs) ที่กำลังเป็นที่จับตามองและเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้
ด้วยสถานการณ์จริงที่ถูกผลักดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิด new normal ขึ้นเช่นการหลีกเลี่ยงการใช้ เงินสด และความต้องการวิธีบริหารจัดการที่ดีขึ้นในการแจกจ่ายความช่วยเหลือจากรัฐบาล ดังเช่นที่ประเทศจีนรัฐบาลผลักดันและเร่งการออกสกุลเงิน CBDC ของตนเองก่อนใครเพื่อน จนทำให้หลายประเทศต้องเร่งตั้งโครงการในเบื้องต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายประเทศในยุโรปที่กำลังสำรวจความเป็นไปได้ของเงินยูโรดิจิทัล ในขณะที่ธนาคารกลาง สหรัฐกำลังทำงานวิจัยร่วมกับ Digital Currency Initiative ของ MIT
“กิจกรรมและความคืบหน้าของ CBDC เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนที่สุดว่าสกุลเงินดิจิทัลคือสกุลเงินอนาคต” James Wallis รองประธานฝ่ายการมีส่วนร่วมของธนาคารกลาง (VP of Central Bank Engagements) ของริปเปิล กล่าว“ ในช่วงปี 2021 ผมคาดหวังว่าจะได้เห็นวิวัฒนาการของคริปโตเคอร์เรนซี stablecoin และ CBDC มากขึ้น โดยจะเป็นการเติบโตที่มีสเถียรภาพในภาคไฟแนนซ์และการชำระเงินผ่านการนำไปใช้งานในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น”
ในปี 2021 นี้ความสำคัญของ CBDC จะขยายวงกว้างขึ้น โดยเริ่มจากการนำไปใช้แก้ปัญหาภายในประเทศตลอดจนถึง การจัดการกับประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดน อย่างเช่นในประเทศจีนที่ธนาคารกลางบางแห่ง จะให้ความสำคัญกับ CBDC รายย่อยในการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ในขณะที่ธนาคารอื่น ๆ จะทดลองการใช้เงินดิจิทัลแทนเงินสด เช่นในสวีเดนหรือบาฮามาส โครงการใหม่เหล่านี้จะต้องมีการทำงานร่วมกัน ระหว่างเครือข่ายของธนาคารกลางและบล็อกเชนส่วนตัว และอาจสามารถใช้สกุลเงินกลาง (bridge currency) เป็นตัวเชื่อมที่ช่วยให้เกิดสภาพคล่องและการชำระเงินข้ามพรมแดนแบบทันที
นอกเหนือจากบทพิสูจน์การทำงาน
การเปิดตัว Beacon Chain ของ Ethereum ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในปี 2020 สำหรับ David Schwartz CTO ของ Ripple เขามองว่ามันเป็นการขยับที่ชัดเจน จากในขั้นของการพิสูจน์ผลการทำงาน (PoW) ไปสู่ระบบที่ยั่งยืนและ ปรับขนาดได้มากขึ้นในปี 2021
“ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็คือ ระบบ PoW นั้นใช้ทรัพยากรและสิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล” Schwartz กล่าว “ และยังมีคุณลักษณะที่โน้มเอียงไปในทาง centralization อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากคนขุด เหรียญที่ได้พลังงานราคาถูกที่สุดจะกลายเป็นผู้มีส่วนได้เสียหลัก ในปี 2021นี้เราจะยังคงได้เห็นนวัตกรรมทางเทคนิคที่จะช่วยพัฒนาบล็อกเชนเช่น XRPL ที่ใช้เทคโนโลยีที่ใหม่กว่า”
เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและปรับปรุงปริมาณการใช้พลังงาน เขาคาดว่าจะมีจำนวนบล็อกเชนมากขึ้นที่เล็งเห็นถึงการ migrate ของ Ethereum และมองหาวิธีการสร้างบล็อกเชนแบบ carbon neutral เช่น XRPL
สำหรับผู้ที่คงสถานะ carbon neutral ได้ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเชิงบวกอย่างมหาศาล ตารางการเปรียบเทียบการใช้พลังงานโดยการทำธุรกรรมผ่าน XRP เมื่อเทียบกับ bitcoin บัตรเครดิต หรือแม้กระทั่งเงินสด ยิ่งช่วยย้ำศักยภาพของมันที่มีต่อวงการ
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ริปเปิลยังได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานที่สำคัญในปี 2020 เมื่อเขาได้กลายเป็นบริษัทบล็อกเชนแห่งแรกที่มุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรปลอดคาร์บอน (carbon neutral) ริปเปิลเปิดตัว โครงการริเริ่มมากมายเพื่อมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ให้ได้ภายในปี 2030
มุ่งเน้นที่ผลกระทบ
Monica Long ผู้จัดการทั่วไปของ RippleX คาดการณ์ว่าพันธกิจนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบในด้านต่างๆ ในปีนี้
“ในปี 2021 เราจะเห็นคริปโตทำตามคำสัญญาเดิมที่ให้ไว้ว่าจะสร้างรูปแบบการเงินใหม่ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และเป็นธรรมต่อผู้ด้อยโอกาสในโลกมากขึ้น” Long กล่าว
เพื่อช่วยให้บรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าวได้สำเร็จ คริปโตจะต้องช่วยยกระดับการแข่งขัน โดยการเปิดประตูสู่ฟินเทคที่เพิ่มขุมพลังให้กับผู้บริโภค บริษัทที่นำเสนอบริการที่ใช้งานและเข้าใจง่าย ปลอดภัย มั่นคง และรักษาความเป็นส่วนตัว มีความสามารถในการทำงานร่วมกันทั่วโลก ช่วยให้ผู้คนสร้างความมั่งคั่ง และบรรลุความคล่องตัวทางเศรษฐกิจและสังคมได้จะกลายเป็นผู้ชนะในที่สุด
Long คาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะมาจากการลงทุนของผู้ให้บริการทางการเงินที่เป็นที่ยอมรับ และในประเทศกำลังพัฒนาทั่วทวีปตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และแอฟริกาแถบซาฮาราที่ได้ยอมรับเส้นทางการเงิน แบบดิจิทัลแล้ว ส่วนสำหรับประเทศที่ก้าวข้ามธนาคารแบบดั้งเดิมและเครือข่ายบัตรเครดิตและหันไปหาบริการบนมือถือ คริปโตคือก้าวต่อไปที่สมควรให้ความสนใจ
กล่าวโดยสรุป หนึ่งปีข้างหน้านี้จะเป็นหนึ่งในปีแห่งการเติบโตทั่วทั้งกระดานสำหรับบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ในขณะที่การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลให้การเติบโตทั่วโลกชะลอตัวลง แต่กลับกลายเป็นปีทองของเหรียญยูทิลิตี้และ เป็นโอกาสดีสำหรับการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ และเป็นตัวจุดประกายการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในปี 2021
###
เกี่ยวกับ Ripple
Ripple ผู้ให้บริการระบบการชำระเงินระหว่างประเทศทั่วโลกแบบเรียลไทม์ด้วยเทคโนโลยี “บล็อกเชน” ที่นำเอาเทคโนโลยีทางการเงินอันทันสมัยมาประยุกต์ใช้ ด้วยเทคโนโลยี RippleNet เครือข่ายการชำระเงินระดับโลกที่ทำให้ลูกค้าสามารถชำระเงินทั่วโลกได้ทันที เชื่อถือได้ และต้นทุนต่ำ โดยธนาคารและผู้ให้บริการทางการเงินทั่วโลกสามารถใช้สกุลเงินดิจิตอลที่มีชื่อว่า XRP เป็นตัวกลางในการโอนเงินระหว่างประเทศเพื่อลดค่าใช้จ่ายและขยายบริการไปสู่ตลาดใหม่ได้ Ripple มีสำนักงานอยู่ที่ซานฟราซิสโก วอชิงตัน ดีซี นิวยอร์ค ลอนดอน มุมไบ สิงคโปร์ เซาเปาโล เรคยาวิก และ ดูไบให้บริการลูกค้ากว่า 300 ประเทศทั่วโลก