ชาว Gen Z (Gen Zers) คือกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแต่ยังกังวลว่าตัวเองจะขาดทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน (soft skills) และยังต้องการการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลเพิ่มมากขึ้นถึงกระนั้นมืออาชีพระดับอาวุโสมีความหวาดเกรงที่จะโดนเด็กที่โตมาในยุคดิจิทัลแย่งเก้าอี้ในการทำงาน
เนื้อข่าวโดยสรุป
- กลุ่มคนที่เกิดและโตมาในยุคดิจิทัล (Digital natives) กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของคนทำงาน โดย 97 เปอร์เซ็นต์ ของชาว Gen Z ในประเทศไทย ต้องการที่จะทำงานด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทันสมัยที่สุด โดยมากกว่า 4 ใน 10 ให้ความสนใจในการทำงานด้านไอที ที่รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์
- แม้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แต่ยังมีความกังวลด้านความพร้อมในการทำงาน โดย 95 เปอร์เซ็นต์ ของชาว Gen Z ในประเทศไทย ต้องการทำงานในลักษณะการเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี แต่ 96 เปอร์เซ็นต์ ยังมีความกังวลว่าอาจขาดประสบการณ์และทักษะด้านการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
- 76 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบการสำรวจทั้งหมด 722 ราย ต่างบอกว่าความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีของตัวเองนั้นอยู่ในระดับดี หรือดีเยี่ยม และแม้ว่าเกือบทั้งหมด (99 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ และมีเพียง 60 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่าการศึกษาที่ได้รับมีส่วนช่วยในการเตรียมความพร้อมให้พวกเขาเป็นอย่างดี
- ภายในที่ทำงานจะประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มาจาก 5 เจเนอเรชั่น ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่องค์กรธุรกิจจะต้องช่วยให้พนักงานมีความเข้าใจพื้นฐานที่ตรงกันเพื่อความเท่าเทียม
ในเวลานี้ กลุ่มคน Gen Z กำลังทยอยก้าวสู่การทำงาน พร้อมนำพาแนวความคิดที่ว่าเทคโนโลยีต้องมาก่อนจึงจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวหน้าต่อไปได้ในยุคดิจิทัลเข้ามาพร้อมกัน และในขณะเดียวกัน ก็มีแนวโน้มที่อาจสร้างการแบ่งแยกที่ชัดเจนยิ่งขึ้นระหว่างกลุ่มคนทำงานทั้ง 5 เจเนอเรชั่นที่ยู่ในภายในองค์กรเดียวกัน จากผลการวิจัยทั่วโลกที่สนับสนุนการจัดทำโดยเดลล์ เทคโนโลยีส์ พบว่า คนในยุคหลังมิลเลนเนียล (post-millennials) หรือคนที่เกิดหลังปี 1996 และเป็นที่รู้จักในนาม Gen Z มีความเข้าใจและรอบรู้เทคโนโลยีในเชิงลึก และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทั้งวิถีการทำงานและการใช้ชีวิตของเราออกไป
“แทบจะเป็นที่รู้กันว่ากลุ่มคนที่เติบโตมาในยุคดิจิทัลมีทักษะด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและเทคโนโลยีล้ำหน้า แต่ที่น่าแปลกใจก็คือระดับของวุฒิภาวะด้านดิจิทัลที่พวกเขานำมาสู่ที่ทำงาน” นายอโณทัย เวทยากร รองประธานบริหาร เดลล์ อีเอ็มซี ภูมิภาคอินโดจีน กล่าว “เรายังไม่ได้ไปถึงจุดที่สร้างเจเนอเรชั่นของคนที่เป็นหุ่นยนต์ขึ้นมา เนื่องจากคนใน Gen Z มองว่าเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับมนุษย์ แต่ยังเป็นเสมือนวิธีการในการยกระดับการแข่งขันที่ต้องอาศัยศักยภาพด้านข้อมูลอีกด้วย ซึ่งการผสมผสานทั้งวิสัยทัศน์ และการมองโลกในแง่ดีของคนกลุ่มนี้นับว่าไม่ธรรมดา”
จากผลการสำรวจบรรดานักเรียนในระดับมัธยม วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยกว่า 12,000 แห่งใน 17 ประเทศ รวมถึงผู้ตอบการสำรวจจำนวน 722 รายจากประเทศไทย และ 4,331 รายจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีอายุระหว่าง 16 ถึง 23 ปี เผยให้เห็นภาพรวมของคนรุ่นเยาว์ที่มีต่อเทคโนโลยีและงานในอนาคต โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้
- 98 เปอร์เซ็นต์ (99 เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาอย่างจริงจัง
- 91 เปอร์เซ็นต์ (95 เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) กล่าวว่าเทคโนโลยีที่ผู้ว่าจ้างนำเสนอ จะเป็นองค์ประกอบการพิจารณาการเลือกงานในลักษณะเดียวกันที่เสนอเข้ามา
- 80 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย 97 เปอร์เซ็นต์ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 90 เปอร์เซ็นต์) ต้องการทำงานที่ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้า โดย 38 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มนี้สนในงานด้านไอที 39 เปอร์เซ็นต์ ต้องการทำงานด้านการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ และ 46 เปอร์เซ็นต์ ต้องการทำงานด้านการพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยี ทั้งนี้ ในประเทศไทย มากกว่า 4 ใน 10 มีความสนใจงานด้านไอที รวมถึงการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ (48 เปอร์เซ็นต์)
- 80 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย 93 เปอร์เซ็นต์ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 86 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติจะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความเสมอภาคมากขึ้น โดยช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอคติและการแบ่งแยก
ผู้ตอบสำรวจในจำนวนที่สูงถึง 89 เปอร์เซ็นต์ ต่างเข้าใจดีว่าเรากำลังก้าวสู่ยุคของความร่วมมือระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (human-machine partnership) โดย 51 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย 64 เปอร์เซ็นต์) ของบรรดาผู้เข้าร่วมการสำรวจเชื่อว่ามนุษย์และเครื่องกลจะทำงานร่วมกันเสมือนเป็นทีมเดียวกัน ในขณะที่ 38 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย 30 เปอร์เซ็นต์) มองว่าเครื่องกลเป็นเสมือนเครื่องมือที่มนุษย์เรียกใช้ได้ตามต้องการ
การที่กลุ่มคน Gen Z เติบโตมาในยุคดิจิทัล ทำให้ชาว Gen Z ส่วนใหญ่ มีความมั่นใจในความสามารถด้านเทคโนโลยี โดยในประเทศไทย 76 เปอร์เซ็นต์ของคนกลุ่มนี้ ต่างระบุว่าความสามารถด้านเทคโนโลยีของตนอยู่ในระดับที่ดีหรือยอดเยี่ยม และ 73 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่ามีทักษะในการเขียนโค้ด (coding skills) สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป และที่มากไปกว่านั้นก็คือ 95 เปอร์เซ็นต์ของชาว Gen Z ในประเทศไทย ปรารถนาที่จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเพื่อให้ความรู้ให้กับผู้ร่วมงานอายุมากกว่าที่อาจมีประสบการณ์เรื่องเทคโนโลยีน้อยกว่า
ในทางกลับกัน ชาว Gen Z มีความกังวลเกี่ยวกับทักษะที่เหมาะสมในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมไปถึงประสบการณ์ที่ผู้ว่าจ้างมองหาอีกด้วย โดยในส่วนของประเทศไทย
- เด็กจบใหม่เกือบทั้งหมด (96 เปอร์เซ็นต์) มีความกังวลใจเกี่ยวกับการว่าจ้างงานในอนาคต ตั้งแต่เรื่องของการขาดทักษะที่เหมาะสม ตลอดจนขาดประสบการณ์ในการทำงาน
- มีเพียง 60 เปอร์เซ็นต์ ที่ระบุว่าการศึกษาของตนอยู่ในระดับดี หรือดีเยี่ยม ที่ช่วยให้ตนมีความพร้อมในการทำงาน
- 67 เปอร์เซ็นต์ มั่นใจว่าตนมีทักษะด้านเทคโนโลยีที่ผู้ว่าจ้างต้องการ แต่ขาดทักษะที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่เป็นมืออาชีพในระดับอาวุโส ก็มีความกังวลว่าจะโดนเด็กรุ่นใหม่แซงหน้า และบทบาทของผู้นำในอนาคตส่วนใหญ่จะกลายเป็นของเด็กรุ่นใหม่ที่โตมาในยุคดิจิทัล สอดคล้องตามการวิจัยของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ที่ว่า 87 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำธุรกิจกลัวว่าองค์กรของตนจะพยายามมอบโอกาสด้านการทำงานที่ทัดเทียมให้กับคนต่างรุ่น
ปัจจุบันในที่ทำงานมีคนทำงานอยู่ถึง 5 เจเนอเรชั่น ฉะนั้นองค์กรธุรกิจควรช่วยให้คนทำงานเหล่านี้หาจุดร่วมที่เหมือนกันให้เจอ ในเวลาที่ต้องผลักดันไปสู่การสร้างวัฒนธรรมของการให้ความสำคัญกับดิจิทัลเป็นอันดับแรก หรือ digital-first โดยทีมงานที่ต้องทำงานข้ามสายงานและมีทักษะที่ครบครันสามารถกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และการแก้ปํญหาด้วยวิธีแบบใหม่ โปรแกรมนักศึกษาฝึกงาน และการหมุนเวียนงาน รวมถึงโอกาสอื่นๆ ในการพัฒนาความก้าวหน้าทางอาชีพตั้งแต่เริ่มต้น สามารถช่วยให้มืออาชีพรุ่นเยาว์ได้รับประสบการณ์ในการทำงานและพัฒนาทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนได้เช่นกัน และโปรแกรมการผลัดกันเป็นที่ปรึกษาสามารถช่วยเพิ่มพูนความสามารถด้านเทคโนโลยีภายในองค์กร โดยมีเจนแซดเป็นผู้เบิกทางในเรื่องนี้
องค์ประกอบของมนุษย์
แม้ว่าคนรุ่นเจนแซด จะมีการสื่อสารโต้ตอบโดยใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ได้อย่างดีมาตั้งแต่เกิด และเติบโตมาในยุคโซเชียลมีเดีย แต่เจนแซด ก็ยังต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในที่ทำงานมากขึ้น
จากผลการศึกษาในประเทศไทย
- โทรศัพท์ (40 เปอร์เซ็นต์) เป็นวิธีการที่คนทำงานร่วมกันนิยมใช้ในการสื่อสาร ตามด้วยการสื่อสารแบบตัวต่อตัว (34 เปอร์เซ็นต์) แอปฯ ส่งข้อความ และการส่งข้อความสั้นถูกจัดไว้หลังสุด
- 62 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าจะได้เรียนรู้งานจากเพื่อนร่วมงานหรือบุคคลอื่น แต่ไม่ใช่ทางออนไลน์
- 91 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่าโซเชียลมีเดีย สามารถใช้เป็นเครื่องมือที่สร้างคุณค่าในการทำงาน
- กว่าครึ่ง (58 เปอร์เซ็นต์) ชอบนั่งทำงานในออฟฟิศ เมื่อเทียบกับการทำงานจากบ้าน และ 70 เปอร์เซ็นต์ ชอบที่จะทำงานเป็นทีมมากกว่าทำคนเดียว
“มืออาชีพรุ่นเยาว์ในปัจจุบัน ต่างเติบโตมาในสภาพแวดล้อมการศึกษาที่ต้องทำงานร่วมกัน และคาดหวังความร่วมมือดังกล่าวจากที่ทำงานเช่นกัน” มาริเบล โลเปซ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ ของ Lopez Research กล่าว “แม้ว่าการสื่อสารที่ต้องพูดคุยกันต่อหน้าจะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยในที่ทำงานสมัยใหม่ แต่เทคโนโลยีที่ให้ความรู้สึกเสมือนจริง (immersive technologies) ก็ช่วยให้คนทำงานทุกประเภทสามารถประสานความร่วมมือได้ทั้งในโลกการทำงานจริงและโลกเสมือนจริง
นายอโณทัย กล่าวเสริมว่า “ท้ายที่สุด เหล่าองค์กรที่สร้างกำลังคนโดยที่สามารถรองรับและให้การสนับสนุนคนทำงานในทุกเจเนอเรชั่นได้ ก็จะเติบโตได้ในยุคแห่งความร่วมมือระหว่างมนุษย์และเครื่องกล คนทำงานที่ผสานการทำงานร่วมกันได้ดีนับเป็นขุมพลังที่จะช่วยให้องค์กรปฏิรูปและประสบความสำเร็จได้ในอนาคตดิจิทัล
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
- รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Gen Z: The future has arrived สามารถอ่านได้ที่ DellTechnologies.com/GenZ
- อ่าน blog เกี่ยวกับมุมมองทัศนะในเรื่องดังกล่าว
- เชื่อมต่อกับเดลล์ เทคโนโลยีส์ ทาง Twitter, Facebook, YouTube และ LinkedIn
###
เกี่ยวกับการศึกษา
การศึกษาดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก เดลล์ เทคโนโลยีส์ และจัดทำขึ้นโดยองค์กรวิจัยอิสระ ในช่วงเดือนสิงหาคม จนถึงกันยายน 2018 โดย Dimensional Research ได้ทำการสำรวจผ่านออนไลน์ ไปยังนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับการศึกษาที่สูงกว่านั้นใน 17 ประเทศทั่วโลก โดยได้มีการแปลชุดคำถามในการสำรวจออกเป็น 12 ภาษา ซึ่งมีนักเรียน นักศึกษาที่อายุระหว่าง 16-23 ปี จำนวน 12,000 รายเข้ารับการสำรวจ ทั้งนี้ การศึกษาดังกล่าวเป็นหนึ่งในการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดที่รวบรวมข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับทัศนคติปัจจุบันและความคิดเห็นที่มีต่อเทคโนโลยีและสถานที่ทำงานในกลุ่มนักเรียนยุค Generation Z ที่กำลังจะเริ่มทำงานภายในอีกไม่กี่ไปข้างหน้า
เกี่ยวกับ Dimensional Research
Dimensional Research ทำวิจัยด้านการตลาดที่ใช้งานได้จริง เพื่อช่วยให้องค์กรด้านเทคโนโลยี ช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น นักวิจัยของเรามีความเชี่ยวชาญด้านแอปพลิเคชัน อุปกรณ์ และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรธุรกิจสมัยใหม่ใช้กันอยู่ เราเข้าใจวิธีการดำเนินงานขององค์กรด้านเทคโนโลยีและองค์กรคอร์ปอเรทด้านไอที เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีส่วนร่วมในธุรกิจทั้งหมด เราร่วมมือกับลูกค้าในการส่งมอบข้อมูลที่นำไปใช้ดำเนินการได้จริง เพื่อช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า และช่วยให้ธุรกิจเติบโต รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่ dimensionalresearch.com
เกี่ยวกับเดลล์เทคโนโลยีส์
เดลล์ เทคโนโลยีส์ ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะที่มอบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและสำคัญในการสร้างอนาคตดิจิทัลให้แก่องค์กรธุรกิจ ทั้งเปลี่ยนรูปแบบของไอที และให้การปกป้องข้อมูลที่ถือเป็นสินทรัพย์สำคัญ เดลล์ เทคโนโลยีส์ให้การดูแลสนับสนุนลูกค้าทุกขนาดองค์กรใน 180 ประเทศ – หรือ 99 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับใน Fortune 500 ไปจนถึงลูกค้ารายย่อย – ด้วยสายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดตั้งแต่อุปกรณ์ปลายทาง ไปถึงส่วนกลางในการประมวลผล ตลอดจนถึงคลาวด์ เดลล์ เทคโนโลยีส์ ประกอบด้วยแบรนด์ต่างๆ ดังต่อไปนี้ เดลล์ เดลล์ อีเอ็มซี พิโวทอล อาร์เอสเอ ซิเคียวเวิร์คส์ เวอร์ทุสสตรีม และวีเอ็มแวร์