การวิจัยของ Nexusguard เผยให้เห็นขนาดการโจมตี DDoS เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 500 เปอร์เซ็นต์

นักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์แนะนำให้ใช้แบนด์วิธป้องกันบ็อตเน็ต IoT

ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา – Media OutReach–  19กันยายน 2018 – การโจมตี DDoS เฉลี่ยเพิ่มห้าเท่าเป็น 26 กว่ากิกะบิตต่อวินาทีและมีขนาดการโจมตีสูงสุดเพิ่มขึ้นสี่เท่าเป็น 359 กิกะบิตต่อวินาทีเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามรายงานภัยคุกคาม ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2018ของ  Nexusguard  รายงานนี้ ซึ่งประเมินการโจมตี DDoS ทั่วโลกเป็นพัน ๆ ครั้งระบุว่าการโจมตีที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นเพราะบ็อตเน็ตIoT และการโจมตีของมัลแวร์ Satori ซึ่งคล้ายคลึกกับมัลแวร์ Mirai   ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) และองค์กรที่มีช่องโหว่จะต้องเพิ่มการป้องกันแบนด์วิธหากพวกเขาหวังว่าจะสามารถต้านทานการโจมตีที่เพิ่มขึ้นได้

วิจัยชี้ให้เห็นถึงการใช้งาน IoT botnet เป็นเหตุของการเพิ่มขึ้นของการโจมตีด้วยมัลแวร์ที่เกี่ยวกับ IoT และการเติบโตของการโจมตี DDoS  การโจมตีทางไซเบอร์ได้เกินขึ้นช่วง FIFA World Cup 2018 รวมทั้งกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrency ทำให้รายได้ลดลง  ตัวอย่างเช่น การโจมตีบน Verge Network (XVG) ทำให้เกิดการสูญเสียเหรียญ XVG ไป 35 ล้านเหรียญ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐ  นักวิเคราะห์ของ Nexusguard เตือนว่า CSP และการดำเนินงานที่อ่อนแอควรเพิ่มความพร้อมในการรักษาแบนด์วิดท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากโครงสร้างพื้นฐานของตนไม่มีแผนงานสำรองและการสำรองข้อมูลที่สมบูรณ์แบบ

“ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในวันนี้อาจเกิดจากเราเตอร์ในบ้านหลายประเภท ซึ่งผู้บุกรุกสามารถใช้ประโยชน์จากการโจมตีแบบ DDoS ต่อเครือข่ายและบริการที่มีความสำคัญยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีการโจมตีขนาดใหญ่ที่มุ่งจะตัดกำลังเป้าหมายในช่วงเวลาที่สร้างรายได้สูงสุด” Juniman Kasman ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Nexusguard กล่าว “บริษัทโทรคมนาคมและผู้ให้บริการด้านการสื่อสารอื่นๆ จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อป้องกันแบนด์วิดธ์จากการโจมตีขนานใหญ่เพื่อให้แน่ใจว่าการบริการลูกค้าและการดำเนินงานจะสามารถดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง”

แฮกเกอร์ชอบการโจมตีโดยใช้ universal datagram protocol (UDP) ซึ่งมีมากกว่า 31 เปอร์เซ็นต์ของการโจมตีทั้งหมดที่ใช้กลยุทธ์ปริมาตรนี้  โปรโตคอลที่ไม่มีการเชื่อมต่อจะช่วยให้สามารถสร้างบ็อตเน็ตที่สร้างขึ้นโดยมวล ซึ่งดึงทรัพยากรโฮสต์และทำให้ไม่สามารถเข้าถึงได้  จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกาและจีนนับเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของผู้ใช้ทั่วโลก โดยถูกโจมตีในสัดส่วนร้อยละ 20 และมากกว่าร้อยละ 16 ตามลำดับ

การค้นคว้าวิจัยด้านภัยคุกคามแบบ DDoS รายไตรมาสของ Nexusguard รวบรวมข้อมูลการโจมตีแบบเรียลไทม์จากการสแกนบ็อตเน็ต Honeypots ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างผู้บุกรุกและเป้าหมายเพื่อช่วยให้บริษัทระบุช่องโหว่และรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ทั่วโลก อ่านรายงานภัยคุกคาม “”Q2 2018 Threat Report” ฉบับเต็มสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม

###

เกี่ยวกับ Nexusguard

ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 Nexusguard เป็นผู้ให้บริการโซลูชันรักษาความปลอดภัย (Distributed Denial of Service – DDoS) แบบ Cloud-Based ที่ต่อสู้กับการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตที่เป็นอันตราย  Nexusguard ช่วยให้มั่นใจได้ถึงบริการอินเทอร์เน็ต ทัศนวิสัย การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ต่อเนื่อง  Nexusguard มุ่งเน้นการพัฒนาและจัดหาโซลูชัน cybersecurity ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มในหลายอุตสาหกรรมที่มีธุรกิจและข้อกำหนดทางเทคนิคที่เฉพาะเจาะจง  Nexusguard ยังช่วยให้ผู้ให้บริการการสื่อสารสามารถมอบโซลูชั่นป้องกัน DDoS ให้เป็นบริการได้  Nexusguard ให้คำมั่นที่จะมอบความสบายใจให้แก่คุณโดยการต่อต้านภัยคุกคามและเพื่อให้มั่นใจได้ถึงเวลาทำงานสูงสุด ไปที่ www.nexusguard.com เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

About naruethai

Check Also

แคสเปอร์สกี้เผยสถิติปี 2020 พบไฟล์อันตรายเกิดใหม่เฉลี่ยวันละ 360,000 ไฟล์ เพิ่มขึ้น 5.2% จากปีก่อน

ในปี 2020 แคสเปอร์สกี้ตรวจพบไฟล์อันตรายเกิดใหม่เฉลี่ยแล้ววันละ 360,000 ไฟล์ คิดเป็นเพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุน่าจะมาจากการเติบโตขึ้นอย่างมากของโทรจัน (ไฟล์ตัวร้ายที่ก่ออันตรายได้มากมายหลายอย่าง รวมทั้งลบหรือแอบจารกรรมข้อมูลด้วย) และแบ็คดอร์ (โทรจันประเภทหนึ่งที่ผู้ก่อการร้ายสามารถเข้ามายึดควบคุมเครื่องของเหยื่อ) คิดเป็นอัตราเพิ่ม 40.5% …

ลาซารัสยังไม่หยุด! แคสเปอร์สกี้เผยเหตุการณ์โจมตีสองรายการเชื่อมโยงงานวิจัยวัคซีนสกัดโรคระบาด

ช่วงปลายปี 2020 นักวิจัยของแคสเปอร์สกี้ระบุพบความเคลื่อนไหวของ APT จำนวน 2 รายการที่มีเป้าหมายเป็นงานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ COVID-19 หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข และบริษัทธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งทีมผู้เชี่ยวชาญของแคสเปอร์สกี้ประเมินว่าต้องมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มลาซารัส (Lazarus) อันอื้อฉาวอย่างแน่นอน