หัวเว่ยเผยข้อมูลรายงานดัชนีการเชื่อมต่อระดับโลก (GCI) ประจำปี 2019 ชี้การเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Intelligent Connectivity) คือตัวเร่งใหม่ที่จะเสริมอัตราการเติบโตของจีดีพี(GDP)ให้สูงขึ้นได้

[เซินเจิ้น ประเทศจีน, 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552] ผลสำรวจที่น่าสนใจล่าสุดจากรายงานดัชนีการเชื่อมต่อระดับโลก (GCI)ของหัวเว่ย GCI ประจำปี 2019 ระบุว่าในยุคที่การเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Intelligent Connectivity) ซึ่งทำงานผสมผสานกับ AI เริ่มส่งผลกระทบอย่างชัดเจนแก่เศรษฐกิจดิจิทัลและทำให้เกิดจุดเปลี่ยนด้านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น และหากประเทศใดที่ได้รับคะแนนในรายงานดัชนี GCI สูงกว่า 65 ซึ่งเป็นแต้มที่แสดงถึงการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านการเชื่อมต่ออัจฉริยะ ประเทศนั้น ๆ สามารถคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้มากกว่า 1% นอกจากนี้ ตัวชี้วัดความสำเร็จในยุคอัจฉริยะจะขึ้นอยู่กับศักยภาพด้านความร่วมมือกันในระดับโลกอีกด้วย

รายงานดัชนี GCI ฉบับปี 2019 ถือเป็นผลการรายงานประจำปีที่หก ได้ให้ความสำคัญในบทบาทของเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันเทรนด์ “การเชื่อมต่ออัจฉริยะ” ส่วนอีกสามปัจจัยสำคัญคือ เทคโนโลยี Broadband, Cloud และ IoT ซึ่งทั้งสี่เทคโนโลยีมีแนวโน้มสูงที่จะเร่งภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด

จุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นระดับประเทศ

ในปี 2016 รายงาน GCI ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดเกิดใหม่ต่าง ๆ  ประเทศที่ได้รับคะแนนดัชนีถึง 35 แต้ม จะมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในภาค ICT ออกมาเป็นการเติบโตของ GDP แบบทวีคูณ รายงานดัชนี GCI 2019 ยังพบว่าแรงกระตุ้นของจุดเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลมากขึ้นในกลุ่มประเทศที่อยู่ในส่วนบนของกราฟ S-Curve ของรายงานดัชนี GCI อีกด้วย สำหรับประเทศที่มีคะแนนดัชนี GCI สูงกว่า 65 แต้ม จะสังเกตได้ว่ากราฟ S-Curve จะสูงชันขึ้นอีก โดยประเทศเหล่านี้กำลังขยับตัวเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตครั้งใหม่ ซึ่งประเทศที่มีค่าดัชนี GCI สูงสุดจะสามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่ออัจฉริยะเพื่อเร่งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เร็วขึ้นกว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งหมด 2.4 เท่าในทุกการพัฒนาค่าดัชนี GCI 

สำหรับประเทศไทยได้ค่าดัชนี 43 คะแนน และอยู่ในอันดับที่ 54 ของรายงานดัชนี GCI 2019 โดยผลสำรวจครั้งนี้จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแนวโน้มนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นประเทศแรกๆ และมีการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (broadband assessment) ที่โดดเด่น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังทำคะแนนได้สูงสุดในด้านสัดส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนและจำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านอุปกรณ์พกพาอีกด้วย จึงทำให้ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเร่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างน่าจับตามอง

ศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของ AI สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

ไม่ใช่เพียงแค่เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์จากการเชื่อมต่ออัจฉริยะ รายงานดัชนี GCI 2019 ยังพบว่าในหลายประเทศที่ทุกระดับของการพัฒนาด้านดิจิทัลสามารถเข้าถึง “ศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของ AI” ในฐานะที่เป็นตัวเร่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เมื่อเทคโนโลยี AI ดังกล่าวมีการนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมและองค์กรต่าง ๆ แล้ว

แม้แต่ประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยี (Frontrunners) เช่น ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT ชั้นนำในระดับโลก ศักยภาพของเทคโนโลยี AI ก็ยังอยู่แค่ในระดับเริ่มต้นเท่านั้น ประเทศที่เริ่มนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ (Adopters) และประเทศที่เพิ่งเริ่มต้นปรับใช้เทคโนโลยี (Starters) อย่างจีน มาเลเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์และสเปนก็ไม่ได้ถือว่าล่าช้าแต่อย่างใด เนื่องจากประเทศเหล่านั้นต่างเร่งผลักดันเทคโนโลยี AI ให้เร็วที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้เช่นกัน

เสริมพลังการเชื่อมต่ออัจฉริยะด้วยความร่วมมือในระดับโลก

รายงานดัชนี GCI 2019 ยังได้ชี้ให้เห็นอีกหนึ่งแนวทางที่กลุ่มประเทศที่เริ่มนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ (Adopters) และประเทศที่เพิ่งเริ่มต้นปรับใช้เทคโนโลยี (Starter) สามารถกระตุ้นความสำเร็จทางเศรษฐกิจได้ด้วยความร่วมมือกันในระดับโลก เพราะการเชื่อมต่ออัจฉริยะต้องพึ่งพาอีโคซิสเต็มในระดับโลกจึงจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยรายงานดัชนี GCI 2019 ได้ชี้ถึงบทบาทหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องจาก 5 ด้านที่สามารถร่วมมือกันแบบข้ามภาคส่วนเพื่อกำจัดการทำงานแบบไซโลหรือไม่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลองค์ความรู้ระหว่างภายในองค์กร และนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่รวดเร็วขึ้น ได้แก่ ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในหน่วยงาน นักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูล นักรวบรวมข้อมูล บริษัท ICT ต่าง ๆ และผู้บริโภค 

ไม่ว่าการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศนั้น ๆ จะอยู่ในระดับใด ผู้กำหนดนโยบายจะต้องมองอย่างเป็นกลางที่สุดเพื่อหาจุดแข็งทางเศรษฐกิจของชาติ และตัดสินใจว่าจะเข้ากับอีโคซิสเต็มของการเชื่อมต่ออัจฉริยะและได้รับประโยชน์จากการเชื่อมต่อดังกล่าวได้อย่างไร

นายเคลวิน จาง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดด้านโครงสร้างพื้นฐาน ICT ของหัวเว่ย กล่าวว่า “เราเห็นว่าการหลอมรวมของเทคโนโลยี 5G, AI และ Cloud นั้น ได้สร้างนิยามใหม่ของการเชื่อมต่อ การเชื่อมต่ออัจฉริยะช่วยเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้เร็วขึ้น ดังนั้น รัฐบาลและผู้นำอุตสาหกรรมของกลุ่มประเทศที่เริ่มนำเทคโนโลยีมาปรับใช้และประเทศที่เพิ่งเริ่มต้นปรับใช้เทคโนโลยี ควรนำเทคโนโลยีใหม่ไปใช้ จัดลำดับแผนงานด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น และใช้ประโยชน์จากความร่วมมือกันในระดับโลก ขณะเดียวกัน เราก็ตระหนักว่า การเชื่อมต่ออัจฉริยะอาจจะเป็นคำตอบสำหรับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและหยั่งรากลึกสำหรับหลายๆ สังคม รวมถึงสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง และช่องว่างทางชนชั้นระหว่างคนรวยกับคนจน หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี แอปพลิเคชัน และทักษะต่าง ๆ ได้ และส่งมอบประโยชน์จากการเชื่อมต่ออัจฉริยะไปสู่ทุกคน ทุกครอบครัว และทุกองค์กร” 

รายงานดัชนี GCI ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกกับผู้กำหนดนโยบาย และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จในด้านเศรษฐกิจดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น โดยทั้ง 79 ประเทศที่ได้รับการประเมินโดยรายงานดัชนี GCI 2019 คิดเป็นสัดส่วน 95% ของค่าจีดีพี(GDP)ทั่วโลก และ 84% ของประชากรทั่วโลก

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานดัชนี Global Connectivity Index 2019 สามารถเข้าชมได้ที่

http://www.huawei.com/minisite/gci/en/

###

เกี่ยวกับหัวเว่ย 

หัวเว่ย (Huawei) เป็นผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และอุปกรณ์อัจฉริยะ ด้วยโซลูชั่นแบบครบวงจรในโดเมนหลัก 4 แห่ง ได้แก่ เครือข่ายโทรคมนาคม ไอที สมาร์ทดีไวซ์และบริการคลาวด์ เรามุ่งมั่นที่จะนำระบบดิจิทัลไปสู่ทุกคน ทุกบ้านและทุกองค์กรเพื่อเชื่อมต่อกับโลกแห่งความล้ำสมัยด้านสติปัญญา 

ผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น และบริการที่ครบวงจรของหัวเว่ยมีศักยภาพด้านการแข่งขัน และปลอดภัย จากการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในระบบเครือข่าย หัวเว่ยสามารถสร้างสรรค์คุณค่าในระยะยาวให้กับลูกค้า เสริมประสิทธิภาพให้กับผู้คน ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้านมีความสะดวกสบาย และสร้างแรงบันดาลให้เกิดนวัตกรรมในองค์กรทุกรูปแบบ

หัวเว่ยยังให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยเราได้ทุ่มงบประมาณให้กับการวิจัยและพัฒนา เพื่อค้นหาเทคโนโลยีที่ช่วยขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า ปัจจุบัน หัวเว่ยมีจำนวนพนักงานมากกว่า 180,000 คน ดำเนินธุรกิจใน 170 ประเทศทั่วโลก ซึ่งบริษัทก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1987 และเป็นบริษัทเอกชนที่มีพนักงานเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์หัวเว่ย www.huawei.com หรือติดตามเราได้ที่

http://www.linkedin.com/company/Huawei
http://www.twitter.com/Huawei
http://www.facebook.com/Huawei
http://www.youtube.com/Huawei

About naruethai

Check Also

ไอบีเอ็มเปิดบริการ IBM Cloud for Financial Services รองรับ Red Hat OpenShift และบริการ Cloud-native พร้อม SAP พาร์ทเนอร์ และฟินเทคกว่า 90 รายเข้าร่วมอีโคซิสเต็ม

ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ ย้ายเวิร์คโหลดสู่ IBM Cloud for Financial Services  กรุงเทพฯ​ ประเทศไทย – ไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) ประกาศพร้อมเปิดให้บริการ IBM …

ซัพพลายเชนที่ทันสมัยต้องอยู่บนคลาวด์

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน บริษัท อินฟอร์ อาเชียน องค์กรด้านซัพพลายเชนจะต้องมั่นใจว่าขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ กำลังดำเนินไปอย่างเหมาะสม และมีการใช้เครื่องมือดีที่สุดในทุกขั้นตอนการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์ความต้องการ, การจัดซื้อ, การผลิต, การจัดการสินค้าคลัง …