ไอดีซี เผยแอพพลิเคชันของไอเอฟเอส ช่วยผู้ใช้งานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 18%

ไอดีซีเผยผู้ใช้งานแอพพลิเคชันของไอเอฟเอสมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 18% และสามารถบรรลุถึงจุดคุ้มทุนของการลงทุนได้ภายในเวลาเพียง 15 เดือน

นายแมทสมิธหัวหน้าด้านสถาปัตยกรรมระดับโลกบริษัทไอเอฟเอส  เปิดเผยว่าวันนี้ไอเอฟเอสมีความภูมิใจอย่างมากที่ไอดีซีระบุ ในการคำนวณมูลค่าทางธุรกิจที่ได้มาจากการใช้ซอฟต์แวร์องค์กรของไอเอฟเอสพบว่าลูกค้าของไอเอฟเอสโดยเฉลี่ยมีประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น 18% และสามารถบรรลุถึงจุดคุ้มทุนของการลงทุนได้ภายในเวลาเพียง 15 เดือน

การประเมินในครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานของการวิจัยเชิงคุณภาพที่ทำร่วมกับบรรดาองค์กรที่มีรายได้ระดับพันล้านดอลลาร์จากการดำเนินงานทั่วโลกในอุตสาหกรรมการผลิตวิศวกรรมและการก่อสร้างพลังงานและสาธารณูปโภคพื้นฐานอากาศยานและกลาโหมและการบริการจากการวิจัยพบว่าผู้ที่สร้างมูลค่าได้มากที่สุดนั้นจะต้องมีความสามารถในด้าน:

  • ตระหนักถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน: 47% ของมูลค่าโดยรวมที่ประสบความสำเร็จ
  • สร้างรายได้สูงขึ้น*: 43% ของมูลค่าโดยรวมที่ประสบความสำเร็จ
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของผู้ใช้: 10% ของมูลค่าโดยรวมที่ประสบความสำเร็จ

นอกจากประสิทธิภาพการดำเนินงานของผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น 18% แล้วกลุ่มลูกค้ายังระบุด้วยว่า:

  • ทำงานเสร็จตามคำสั่งได้มากขึ้น 28%  
  • จัดส่งตามคำสั่งซื้อ/ผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น 14% 
  • รอบงบประมาณเร็วขึ้น 21%

นายแมทกล่าวต่อว่างานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพที่เจาะลึกถึงวิธีที่ลูกค้าตระหนักถึงมูลค่าทางธุรกิจและติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆที่ไอเอฟเอสได้รับฟังมาจากทุกที่ในตลาดการให้ทางเลือกกับลูกค้าในสิ่งที่พวกเขาซื้อรวมถึงวิธีการนำไปใช้และการบริหารจัดการ ทำให้ไอเอฟเอสสามารถช่วยลูกค้าให้รับรู้ถึงคุณค่าผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้นทั้งยังช่วยเพิ่มผลประโยชน์ทางการเงินและประสิทธิภาพในการผลิตได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมรายอื่นๆนอกจากนี้ผลการศึกษาบรรดาลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ระดับโลกยังแสดงให้เห็นด้วยว่าลูกค้าไอเอฟเอสโดยเฉลี่ยจะมีช่วงเวลาของการหักลบกลบหนี้จากการลงทุน (Amortization) คิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมกล่าวคือใช้เวลาเพียงแค่ 15 เดือนเท่านั้นในการคืนทุนและงานวิจัยอิสระชิ้นนี้ช่วยตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไอเอฟเอสมีฐานที่มั่นในตลาดที่เหนือกว่า 

ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยของไอดีซียังช่วยขจัดเรื่องที่มักเข้าใจกันผิดว่า ระบบการบริหารจัดการบริการภาคสนาม (FSM) การวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) และการบริหารจัดการสินทรัพย์องค์กร (EAM) จะสร้างได้เฉพาะมูลค่าในรูปแบบของประสิทธิภาพในการดำเนินงานเท่านั้น อาทิ การประหยัดเวลา การใช้งานทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และการลดความผิดพลาด ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีข้อดีอีกหลายประการจากข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่า ผลการดำเนินงานของทีมขายดีขึ้น สามารถยื่นประมูลหรือเสนอราคาให้กับองค์กรธุรกิจได้มากขึ้น ปรับปรุงดัชนีชี้วัดความภักดีของลูกค้า (NPS) ได้ดีขึ้น บรรลุข้อตกลงได้มากขึ้น และรักษาฐานลูกค้าไว้ได้นานยิ่งกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนช่วยเพิ่มรายได้ใหม่ๆ ให้กับองค์กรอย่างเห็นได้ชัด

“ทั้งนี้องค์กรต่างๆในทุกอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่างทั้งจากบรรดาคู่แข่งลูกค้าและวิสัยทัศน์ที่บังคับให้ต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมเพิ่มมากขึ้นพวกเขากำลังมองหาเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีที่จะช่วยสนับสนุนองค์กรให้ก้าวสู่การเป็นดิจิทัลเพื่อรับมือกับความท้าทายในด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมของตัวเองและที่สำคัญกว่านั้นคือช่วยขยายธุรกิจเพื่อสร้างช่องทางรายได้ใหม่ๆยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร” นายแมทกล่าว 

ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มของไอดีซีที่นี่  

###

About naruethai

Check Also

ไอบีเอ็มเปิดบริการ IBM Cloud for Financial Services รองรับ Red Hat OpenShift และบริการ Cloud-native พร้อม SAP พาร์ทเนอร์ และฟินเทคกว่า 90 รายเข้าร่วมอีโคซิสเต็ม

ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ ย้ายเวิร์คโหลดสู่ IBM Cloud for Financial Services  กรุงเทพฯ​ ประเทศไทย – ไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) ประกาศพร้อมเปิดให้บริการ IBM …

ซัพพลายเชนที่ทันสมัยต้องอยู่บนคลาวด์

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน บริษัท อินฟอร์ อาเชียน องค์กรด้านซัพพลายเชนจะต้องมั่นใจว่าขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ กำลังดำเนินไปอย่างเหมาะสม และมีการใช้เครื่องมือดีที่สุดในทุกขั้นตอนการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์ความต้องการ, การจัดซื้อ, การผลิต, การจัดการสินค้าคลัง …

Sahifa Theme License is not validated, Go to the theme options page to validate the license, You need a single license for each domain name.