96.2% ของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับคลาวด์ในการตอบสนองความต้องการทางธุรกิจอย่างเร่งด่วนท่ามกลางการระบาดของโควิด-19

โดยรายงานไฮบริดคลาวด์ของเอ็นทีทีเผยสถานการณ์การระบาดเป็นตัวเร่งการเติบโตของระบบคลาวด์

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – บริษัท เอ็นทีที จำกัด (NTT Ltd.,) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกเผยผลวิจัยล่าสุดใน 2021 Hybrid Cloud Reportซึ่งชี้ว่าธุรกิจต้องการความคล่องตัวอย่างยิ่งและไฮบริดคลาวด์มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

ในช่วงก่อนสถานการณ์การระบาดของโควิด-19หลายองค์กรได้เริ่มกระบวนการทรานส์ฟอร์มทางดิจิทัล (Digital Transformation) อย่างไรก็ตาม การระบาดที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทจำนวนมากไม่มีความคล่องตัวในการรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างที่คาดหมายไว้ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ระบบรักษาความปลอดภัย และโครงสร้างระบบเครือข่าย ยังไม่มีความพร้อมเพียงพอที่จะทำให้บริษัทสามารถปรับตัวเพื่อดำเนินธุรกิจต่อไป

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิธีคิดครั้งใหญ่ขององค์กรชั้นนำระดับโลก ในการปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้มีความคล่องตัว นับตั้งแต่การกู้คืนโครงสร้างพื้นฐานและระบบแอพพลิเคชั่นต่างๆ ไปจนถึงการจัดระบบการทำงานของพนักงานในองค์กร รวมถึงแนวทางการทำงานจากบ้าน (Work from Home) อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ กลับเป็นตัวเร่งที่ทำให้องค์กรต่างๆ เห็นความสำคัญและเริ่มกระบวนการทรานส์ฟอร์มทางดิจิทัลกันมากขึ้น

รายงาน ได้สำรวจวิจัยความต้องการของภาคธุรกิจจาก 950 ผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจใน 13 ประเทศ 5 ภูมิภาค รวมทั้งในสิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย และจากภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (APAC) โดยเน้นถึงความต้องการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการสำรวจพบว่า

  • A business lifeline: 90 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยอมรับว่าสถานการณ์โควิดทำให้ธุรกิจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
  • The benefits of hybrid cloud are already clear: องค์กรธุรกิจเริ่มเห็นประโยชน์จากการใช้ไฮบริดคลาวด์ชัดเจนขึ้น โดย 60.3 เปอร์เซ็นต์ ขององค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังใช้งานไฮบริดคลาวด์หรือกำลังเริ่มทดลองใช้งาน
  • Hybrid cloud is the future (ไฮบริดคลาวด์คืออนาคต) ผลสำรวจพบว่า 31.6 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีแผนที่จะใช้โซลูชันไฮบริดภายใน 12-24 เดือน

ทั้งนี้ ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า ไฮบริดคลาวด์มีความสำคัญต่อกระบวนการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven Process) และสนับสนุนการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

ไฮบริดคลาวด์ที่วางระบบคลาวด์ได้อย่างเหมาะสมส่งเสริมการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

ในช่วงสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน องค์กรธุรกิจต่างต้องลดค่าใช้จ่าย หลายองค์กรเริ่มนำไฮบริดคลาวด์มาใช้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและขับเคลื่อนการทำงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

รายงานระบุว่า ความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้นในการใช้แอพพลิเคชันและบริการเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด (38.8 เปอร์เซ็นต์) ของการนำไฮบริดคลาวด์มาใช้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อองค์กรมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นแบบกระจายศูนย์มากขึ้น ทำให้องค์กรมีความต้องการใช้และเข้าถึงข้อมูลและแอพพลิเคชันต่างๆ ด้วยวิธีใหม่ที่แตกต่างและซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม

จากการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่าแรงจูงใจสำคัญอันดับสองในการนำไฮบริดคลาวด์มาใช้ คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่มีความคล่องตัวมากขึ้น (38.3 เปอร์เซ็นต์) ตามด้วยต้นทุนการดำเนินงานด้านไอทีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (34.0 เปอร์เซ็นต์)

หลังจากได้ทำงานร่วมกับเอ็นทีทีในการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบไฮบริด Christophe Le Caignec หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการไอทีของ Lefebvre Sarrut Services กล่าวว่า โครงสร้างระบบไอทีบริษัทช่วยให้สามารถทุ่มเวลาและทรัพยากรเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นและจัดการระบบอย่างครบวงจร ส่งผลให้บริษัทพัฒนาบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงการวางระบบไฮบริดคลาวด์ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมขององค์กรและธุรกิจของตนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยองค์กรประมาณ 53.6 เปอร์เซ็นต์ เห็นตรงกันว่าการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะผู้ให้บริการคลาวด์ที่มีการจัดการครบวงจรเพื่อวางระบบคลาวด์ให้ถูกต้องและสมบูรณ์เป็นสิ่งสำคัญ

ก้าวข้ามอุปสรรค

นอกเหนือจากการจัดการด้านต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ธุรกิจต่างๆ ยังต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องการรักษาความปลอดภัย การปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนด (Compliance) และความซับซ้อนของการวางระบบไฮบริดคลาวด์  รายงานเปิดเผยว่า มากกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (51.2 เปอร์เซ็นต์) มีความเห็นว่า ความยากลำบากในการจัดการเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการนำไฮบริดคลาวด์มาใช้ 

ทั้งนี้ การเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความซับซ้อน องค์กรต้องเลือกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการบริหารจัดการแอพพลิเคชันที่มีความสำคัญ (Mission-critical Applications) ให้มีความปลอดภัยทั้งบนคลาวด์สาธารณะและบนคลาวด์ส่วนตัว รวมทั้งต้องเลือกทำงานร่วมกับพันธมิตรที่เข้าใจในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การวางและใช้งานคลลาวด์มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ถูกต้อง

รายงานยังพบอีกว่า ประสิทธิภาพของเครือข่ายและการขาดแคลนผู้มีทักษะความชำนาญ เป็นอีกอุปสรรคในการนำไฮบริดคลาวด์มาใช้ ซึ่งเรื่องดังกล่าว หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องเหมาะสม การใช้งานคลาวด์อาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควรจะเป็น

Rob​ Lopez รองประธานบริหารเครือข่ายอัจฉริยะ บริษัท เอ็นทีที จำกัด ให้ความเห็นว่า ในช่วงก้าวย่างสู่การดำเนินธุรกิจในปีนี้ องค์กรธุรกิจต่างมุ่งเน้นไปยังการใช้งานไฮบริดคลาวด์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มีความรวดเร็วและปลอดภัยภายใต้โครงสร้างสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่เหมาะสมและเป็นไปตามข้อกำหนด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้การใช้งานคลาวด์ประสบความสำเร็จ และช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับกระแส Disruption ที่กำลังมาถึงได้ในทุกรูปแบบ

ผนึกกำลังพันธมิตรสู่ความสำเร็จ

ความร่วมมือกันในภาคอุตสาหกรรมและการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกจะช่วยให้ธุรกิจมีความรู้และทักษะที่ถูกต้องในการวางระบบและสร้างสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์เพื่อเสริมความคล่องตัวทางธุรกิจ จากการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเกี่ยวกับประเภทของพันธมิตรที่ร่วมทำงานด้วย พบว่า 70.8 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรธุรกิจทำงานร่วมกับ System Integrators ขณะที่ 55.4 เปอร์เซ็นต์ ทำงานร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของข้อมูลหรือผู้ให้บริการด้านการจัดการความปลอดภัย (Managed Security Service Providers: MSSPs) โดยมุ่งเน้นเรื่องการรักษาความปลอดภัยในการใช้งานระบบคลาวด์เป็นสำคัญ.

###

เกี่ยวกับเอ็นทีที

บริษัท เอ็นทีที จำกัด (NTT Ltd.) เป็นบริษัทผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก บริษัทร่วมมือกับองค์กรชั้นนำต่างๆ ทั่วโลกเพื่อพัฒนาและส่งมอบความสำเร็จให้กับลูกค้าผ่านโซลูชั่นเทคโนโลยีอัจฉริยะ สำหรับเอ็นทีที อัจฉริยะหมายถึงการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การเชื่อมโยงถึงกัน ระบบดิจิทัล และความปลอดภัย ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับโลก บริษัทมีพนักงานมากกว่า 40,000 คนครอบคลุม 57 ประเทศในภูมิภาคต่างๆ มีการทำธุรกิจใน 73 ประเทศ และให้บริการแก่ลูกค้าในกว่า 200 ประเทศ ภายใต้เป้าหมายที่ว่า เมื่อร่วมมือกัน เราจะสร้างสรรค์อนาคตที่ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน

 ข้อมูลเพิ่มเติม เยี่ยมชมได้ที่ hello.global.nt

About naruethai

Check Also

ไอบีเอ็มเปิดบริการ IBM Cloud for Financial Services รองรับ Red Hat OpenShift และบริการ Cloud-native พร้อม SAP พาร์ทเนอร์ และฟินเทคกว่า 90 รายเข้าร่วมอีโคซิสเต็ม

ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ ย้ายเวิร์คโหลดสู่ IBM Cloud for Financial Services  กรุงเทพฯ​ ประเทศไทย – ไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) ประกาศพร้อมเปิดให้บริการ IBM …

ซัพพลายเชนที่ทันสมัยต้องอยู่บนคลาวด์

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน บริษัท อินฟอร์ อาเชียน องค์กรด้านซัพพลายเชนจะต้องมั่นใจว่าขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ กำลังดำเนินไปอย่างเหมาะสม และมีการใช้เครื่องมือดีที่สุดในทุกขั้นตอนการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์ความต้องการ, การจัดซื้อ, การผลิต, การจัดการสินค้าคลัง …