วันที่ 26 พฤศจิกายน 2019 – บริษัท ริปเปิล (Ripple) ผู้ให้บริการโซลูชั่นบล็อกเชนสำหรับการชำระเงินทั่วโลก ประกาศว่า ณ ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้ามากกว่า 300 ราย ริปเปิล (Ripple) ยังได้เห็นการเติบโตที่สูงขึ้นเป็นสิบเท่าเมื่อเทียบกันปีต่อปีของธุรกรรมที่ดำเนินผ่านริปเปิลเน็ท (RippleNet) ซึ่งเป็นเครือข่ายทั่วโลกของธนาคาร สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการชำระเงินที่รับ/ส่งเงินทั่วโลกได้ทันทีและเชื่อถือได้แม้จะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยก็ตาม
ในงานประชุมประจำปีของบริษัท Swell by Ripple เมื่อปีที่แล้ว บริษัทได้มีการประกาศเปิดใช้แพลตฟอร์มที่ช่วยเสริมสภาพคล่องหรือ On-Demand Liquidity (ODL) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยประมวลผลธุรกรรมระหว่างประเทศโดยใช้สินทรัพย์ดิจิตอล XRP เป็นตัวเสริมสภาพคล่องในการแลกเปลี่ยนเงินไปมา ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้สถาบันการเงินหรือธนาคารลดความจำเป็นที่จะต้องวางเงินล่วงหน้าสำหรับการชำระเงินข้ามพรมแดน
หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งปีนับตั้งแต่มีการเปิดใช้งาน ODL ริปเปิล (Ripple) เติบโตขึ้นมากและสร้างกระแสที่เรียกความสนใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกค้ามากกว่า 24 รายที่เต็มใจร่วมลงนามในการใช้ผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เปิดตัว ลูกค้ารายใหญ่ที่เชื่อมั่นในเทคโนโลยี ODL ได้แก่ มันนีแกรม (MoneyGram) โกแลนซ์ (goLance) เวียอเมริกาส์ (Viamericas) แฟลชเอฟเอ็กซ์ (FlashFX) และ อินเตอร์แบงค์ (Interbank) ของประเทศเปรู นอกจากนั้นปริมาณธุรกรรมที่ดำเนินผ่านแพลตฟอร์ม ODL ของริปเปิลเพิ่มขึ้น 7 เท่าตัวตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 1 จนสิ้นสุดถึงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
● ไมเคิลบรูคส์ (Michael Brooks) ซีอีโอของโกแลนซ์ (goLance): “ตลาดแรงงานฟรีแลนซ์เติบโตขึ้นอย่างมาก บริษัทต่าง ๆ กำลังว่าจ้างคนที่มีความสามารถทั้งในและต่างประเทศเพื่อช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาเติบโต ที่ goLance เราต้องการรับรองว่าพนักงานฟรีแลนซ์จะได้รับค่าจ้างตรงเวลา ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก นั่นเป็นเหตุผลที่เราร่วมมือกับริปเปิล (Ripple) และด้วยความเป็นพันธมิตรกัน goLance ได้ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและ XRP เพื่อจัดการกับความไร้ประสิทธิภาพที่มีอยู่ในปัจจุบันของระบบโอนเงินข้ามประเทศ และทำให้การทำธุรกรรมและการชำระเงินข้ามพรมแดนรวดเร็วขึ้น เชื่อถือได้ และถูกลง ด้วยประสิทธิภาพการลดต้นทุนในการโอนเงิน ทำให้พนักงานฟรีแลนซ์ของ goLance ได้รับเงินมากขึ้นเพราะไม่ต้องถูกหักค่าธรรมเนียมที่แพงซึ่งเขาจะได้นำไปใช้จ่ายในด้านอื่นๆ แทน”
● พอลดไวเออร์(Paul Dwyer) ซีอีโอของเวียอเมริกาส์ (Viamericas): “เป็นหนึ่งในระบบโอนเงินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เราเข้าใจความท้าทายในปัจจุบันของการส่งเงินไปทั่วโลกและมองหาวิธีปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการทำให้กระบวนการง่ายขึ้นและประหยัดมากขึ้นสำหรับลูกค้าของเรา ในปีที่ผ่านมากระแสการโอนเงินอยู่ในระดับสูงเกือบ 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐและส่วนใหญ่ก็เป็นเงินนอกประเทศที่โอนไปยังประเทศกำลังพัฒนาซึ่งเงินเหล่านี้มีความสำคัญมากโดยเฉพาะต่อครอบครัวที่มีรายได้ต่ำจนถึงปานกลาง ระบบเสริมสภาพคล่องตามความต้องการ (ODL) ของ ริปเปิล (Ripple) ช่วยให้เราสามารถชำระเงินได้แบบเรียลไทม์ และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทำให้เราสามารถจัดการสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
● นิโคลัสสไตเกอร์(Nicolas Steiger) ซีอีโอของแฟลชเอฟเอ็กซ์ (FlashFX): “ ในฐานะหนึ่งในผู้ใช้งานเทคโนโลยีการสร้างสภาพคล่องตามต้องการ หรือ On-Demand Liquidity (ODL) รายแรกของริปเปิล (Ripple) เราได้เห็นประโยชน์และศักยภาพของผลิตภัณฑ์จากประสบการณ์การใช้งานโดยตรง มันไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มและปรับปรุงศักยภาพในการโอนเงินข้ามแดนให้กับลูกค้าให้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบต่อเราทั้งหมด เรารู้สึกตื่นเต้นกับการที่ได้เป็นผู้นำการใช้เทคโนโลยีนี้มาช่วยให้ชาวออสเตรเลียประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการโอนเงินไปต่างประเทศ”
ODL เปิดตัวในช่องทางชำระเงินครั้งแรกที่ประเทศเม็กซิโกและฟิลิปปินส์ และจากนั้นก็ขยายไปยังออสเตรเลียและมีแผนจะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้ ที่ประเทศบราซิล ส่วนแผนการขยายเพิ่มเติมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค, ยุโรปและตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการในปี 2020
“ ในปี 2019 นี้ เป็นปีที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับบริษัทริปเปิล (Ripple) เราได้เห็นโมเมนตัมอย่างต่อเนื่องจากลูกค้า ทั้งการเติบโตของริปเปิลเน็ท (RippleNet) และการนำ ODL ไปใช้งาน ภายในเวลาเพียงหนึ่งปีนับตั้งแต่เราเปิดตัว ODL ขึ้น เราได้ทำให้ลูกค้าประจักษ์ถึงความแตกต่างทางผลประกอบการได้สำเร็จ” นายแบรด การ์ลิงเฮาส์ (Brad Garlinghouse) ซีอีโอของริปเปิล (Ripple) กล่าว “ เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะใช้โอกาสนี้มุ่งมั่นดำเนินการต่อไปในปีหน้า และขยาย ODL ไปสู่ตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น”
ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามันนีแกรม (MoneyGram) บริษัทโอนเงินรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกประกาศแผนการที่จะใช้ ODL หลังจากนั้นเพียงสองเดือนหลังการประกาศ MoneyGram ก็ดำเนินการทำธุรกรรมบนริปเปิลเน็ท (RippleNet) เป็นที่เรียบร้อย
บริษัทเริ่มต้นระบบการชำระเงินขึ้นในเม็กซิโกโดยเป็นโอนเงินจากสหรัฐอเมริกา และจากนั้นก็เปิดให้บริการการชำระเงินข้ามพรมแดนไปยังประเทศฟิลิปปินส์
“หนึ่งในจุดแข็งหลักของมันนีแกรม (MoneyGram) คือการเป็นเสมือนเครื่องชำระเงินและสร้างสภาพคล่องไปทั่วโลก ช่วยให้ลูกค้าของเราส่งเงินไปยังกว่า 200 เขตแดนและประเทศ ความร่วมมือของเรากับริปเปิล (Ripple) ช่วยให้เราปรับปรุงจุดแข็ง และเราก็เริ่มเห็นศักยภาพของผลิตภัณฑ์ในการปรับปรุงระบบหลังบ้านของบริษัทเราให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย” อเล็กซ์ โฮล์มส์ (Alex Holmes) ซีอีโอของมันนีแกรม (MoneyGram) กล่าว
“เป็นครั้งแรก ที่เราสามารถชำระต่างสกุลเงินได้ภายในไม่กี่วินาที และเพราะมันได้ผล เราจึงขยายความร่วมมือกับริปเปิล (Ripple) และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศให้ทราบว่า เราได้เริ่มดำเนินการซื้อขายเงินตราต่างประเทศด้วยเงินเปโซของฟิลิปปินส์โดยใช้แพลตฟอร์ม ODL แล้ว”
ริปเปิล (Ripple) มีลูกค้าในกว่า 45 ประเทศจากทั้งหมด 6 ทวีปที่ใช้งานผ่านเครือข่ายริปเปิลเนท (RippleNet) ซึ่งมีความสามารถในการชำระเงินไปถึงกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ลูกค้าและพันธมิตรล่าสุดของริปเปิล (Ripple) ได้แก่ เฟย์ซัลแบงค์ (Faysal Bank) ของประเทศปากีสถาน ธนาคารแห่งชาติกาตาร์ บีแคช (bKash) ของบังคลาเทศ และ ฟินาสทรา (Finastra) ของสหราชอาณาจักร
###
เกี่ยวกับริปเปิล
ริปเปิล (Ripple) สร้างประสบการณ์การส่งและโอนเงินไปยังประเทศทั่วโลกได้อย่างราบรื่น ไร้รอยต่อ ด้วยพลังของบล็อกเชน (Blockchain) โดยการเข้าร่วมเครือข่ายริปเปิลเน็ท (RippleNet) ที่กำลังเติบโตไปทั่วโลกของ ริปเปิล (Ripple) สถาบันการเงินสามารถดำเนินการกับทุกการชำระเงินของลูกค้าได้จากทุกที่บนโลกได้ในทันที อีกทั้งยังคุ้มค่าและเชื่อถือได้อีกด้วย นอกจากนั้นธนาคารและผู้ให้บริการชำระเงินยังสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัล XRP เพื่อลดต้นทุนและเข้าถึงตลาดใหม่ด้วย เรามีสำนักงานอยู่ทั่วทุกมุมโลก ทั้งที่ซานฟรานซิสโก วอชิงตันดีซี นิวยอร์ก ลอนดอน มุมไบ สิงคโปร์ เซาเปาโล เรคยาวิก และดูไบ ริปเปิล (Ripple) จึงพร้อมให้บริการลูกค้าซึ่งมีมากกว่า 300 รายจากทั่วโลก